วิสัยทัศน์ คือ ศิลปะการเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
มีใครสักกี่คนที่จะมองถึงอนาคตข้างหน้า 3 ปีหรือ 5 ปี หรือถ้าจะให้ไกลกว่านั้นก็คือชีวิตหลังจากที่เกษียณจากการทำงานแล้ว ว่าเราจะมีชีวิตแบบไหน ใช้ชีวิตยังไง เมื่อก่อนผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่ทำงานไปวันๆ พอสิ้นเดือนก็รอรับเงินเดือน ได้เงินมาก็แบ่งเก็บ แบ่งใช้ ว่ากันไป ไม่เคยได้มองเลยว่า แล้วในอนาคตเราจะมีชีวิตเป็นอย่างไร จนวันนึงก็เริ่มได้คิดว่า เงินเดือนที่ได้รับเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ทำไมถึงยังใช้ไม่พอ แล้วนึกย้อนไปสมัยเมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆ เงินเดือนที่ได้รับหนึ่งเดือนสามารถนำไปซื้อทองคำได้บาทกว่าๆ เขียว แต่ปัจจุบันจะซื้อทองคำซักบาทยังซื้อไม่ได้เลย โลกเรามันเปลี่ยนแปลงไปเร็วจริงๆ แล้วยิ่งร้ายกว่านี้คือถ้าระหว่างเราเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แล้วไม่สามารถทำงานได้อีก เราจะเหลืออะไรไว้ให้คนที่อยู่ข้างหลังบ้างน๋อ (ถ้าตอนนี้ก็คงจะเหลือแต่หนี้ก้อนหนึ่ง 555)
พรุ่งนี้หรือชาติหน้า ไม่รู้อะไรมันจะมาถึงก่อนกันด้วยซ้ำ อยากให้ผู้อ่านทุกท่านได้ตระหนักกันบ้าง บางท่านพออ่านแล้วก็อาจจะบอกว่าตอนนี้ชีวิตเราก็ดีอยู่แล้วอยู่ได้อีกหลายๆ ปี หรือบางคนอาจจะบอกว่าชีวิตพอเพียงแค่นี้ก็มีความสุขดี สรุปแล้วก็ไม่มีอะไรหรือความคิดไหนที่ถูกหรือผิด เพียงแต่บางครั้งเราลืมคนบาคนไปบ้างรึเปล่า เราได้คิดถึงคนกลุ่มนี้บ้างมั้ย คนที่เลี้ยงเรามาตอนนี้เค้ามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร บางทีถ้าเรามองเห็นแค่ตัวเราเอง เราจะอยู่ยังไง กินอะไร มันก็มีความสุขเฉพาะตัวได้ทั้งนั้น แต่ไหนๆ เราก็เกิดมาเป็นคนทั้งทีแล้ว มีโอกาสอะไรที่จะทำให้พ่อกับแม่ของเราได้อยู่อย่างสุขสบายได้ เราก็น่าจะทำ ชีวิตนี้มันมีอะไรอีกมากมายเหลือเกินที่รอให้เราพบเจอ เพียงแต่เราอยากจะเจอมันรึเปล่าเท่านั้นเอง
วันนี้ก็แค่อยากให้ทุกท่านได้ลองหาหนทางกันดู ขอเรียกว่าเป็นทางสำรองละกันนะ ขนาดรถยนต์ยังมียางอะไหล่ไว้เปลี่ยนในตอนที่รถเกิดปัญหาเลย ชีวิตคนเราก็คงไม่ต่างกัน วันนี้คุณได้หาอะไหล่ไว้สำรองรึยัง ถ้าชีวิตเราเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา แล้วจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง
ขอเป็นหนึ่งกำลังใจที่มีไว้ให้ทุกคนเสมอ ไม่ว่าเราเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็เป็นกำลังใจให้ตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น